ช่วงที่นอนพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล สามีของเราตั้งสวดอยู่ที่วัดที่บ้านเกิด ซึ่งเราเป็นภรรยาจะไม่ไปได้อย่างไร พอดีระหว่างนั้นเรากำลังเรียนต่อระดับปริญญาตรีปีที่ 3 อยู่จึงมีเพื่อนที่เรียนด้วยกันอาสาพาเราไปฟังพระสวด เพราะบ้านเราไม่มีใครมีรถและมีแต่ผู้หญิง เพื่อนคนนี้มาเยี่ยมเราทุกวัน วันไหนไม่มาก็จะโทรถามอาการตลอด แระพยายามชวนคุยให้เรารู้สึกดี แล้วในคืนที่พระสวดคืนที่ 2 เราได้บอกเพื่อนให้พาไปฟังพระสวดหน่อยได้ไหม เค้าก็พาเราไป โดยไม่ลังเล พอถึงเวลาแม่ก็ไปขออนุญาตพยาบาลพาเราไปวัด พยาบาลก็บอกว่าให้รีบกลับมาเพราะต้องฉีดยาใส่เข็มที่คาอยู่ที่มือ ช่วงนั้นหน้าตาเรามีอาการช้ำเป็นสีม่วงแถบนึง น่ากลัวเหมือนกัน พอไปถึงวัด เราก็ลงจากรถ ทันทีที่เท้าเหยียบลงพื้นน้องสาวแฟนก็เดินเข้ามากอดแล้วร้องไห้ เราก็บอกน้องว่า พี่ขอโทษ ถ้าเค้าไม่มารับพี่เค้าก็คงไม่... แล้วเราก็เดินโดยใช้ที่ช่วยเดินที่เอามาจากโรงพยาบาล ไปที่หน้าโลงศพของสามีอย่างไว ด้วยความลืมตัวแต่เพื่อนที่พามาก็ตะโกนเรียกชื่อเรา สอง สามครั้ง เราถึงหันไปมองมันบอกให้เราเดินช้าๆ เดี๋ยวแผลอักเสบ เราก็เลยเดินช้าลง พอถึงหน้าโลงศพน้องสาวแฟนเราก็จุดธูปให้เรา เราบอกเค้าว่าเรามาหาแล้วนะ ชั้นรักแกนะหมึก ไปสู่สุคตินะ เราบอกเค้าได้แค่นั้น เรายังสับสน ยังคิดอะไรไม่ออก แล้วก็มานั่งฟังพระสวดจนจบ แล้วจึงขึ้นรถกลับ ญาติสามีก็ถามเราว่าไม่นอนนี่หราญาติเราตอบให้ว่าต้องกลับโรงพยาบาลก่อน ยังต้องฉีดยาอีกแล้วก็ชี้ให้ดูเข็มที่คาที่มือเราอยู่ แล้วเพื่อนก็มาส่งเรากับญาติเราที่โรงพยาบาล
วันรุ่งขึ้นขาข้างที่เย็บบวมมาก พยาบาลเลยไม่ให้ไปฟังพระอีก ซึ่งคืนนี้เป็นคืนสุดท้ายแล้ว พรุ่งนี้ก็จะเผาแล้ว แต่เนื่องจากขาบวมเราจึงไม่ได้ไปฟังพระคืนสุดท้าย แต่ก็คิดว่าจะไปวันเผา พอถึงวันที่ต้องเผา ญาติเราทุกคนก็เหมือนจะเหนื่อยเนื่องจากต้องเดินทางมาไกลเลยไม่มีใครพูดเรื่องจะไปเผา เราก็นอนอยู่บนเตียงมองเพดานห้อง คิดอะไรเรื่อยเปื่อย โดยยังไม่ได้โทรบอกเพื่อนให้มารับไปงานเผาศพ เพราะลังเลอยู่คิดว่าจะให้เพื่อนมารับดีหรือไม่ดี จนกระทั่งเวลาประมาณ 09.30 น. ไฟในห้องพักก็กระพริบ ติดๆ ดับๆ พร้อมกับมีเสียงไฟฟ้ากระชากเสียงดัง น่ากลัวมาก ตอนนั้นเราอยู่กับพี่สาว สองคนพี่สาวเข้าห้องน้ำอยู่แล้วเดินออกมา ก็ถามเราว่าอะไร เราบอกไฟตก พี่สาวก็บอกว่าสงสัยฝนจะตกมั้ง เราก็เลยนอนคิดอะไรเรื่อยเปื่อยต่อ แล้วไฟก็กระชากเสียงดังอีกครั้งนึง ครั้งนี้เราเด้งตัวขึ้นมาจากเตียงโรงพยาบาลทันที แล้วบอกกับพี่สาวว่าจะไปวัด ไปเผาศพนะ หมึกมาตามแล้ว พี่สาวก็บอกว่าไปสิ เราเลยโทรหาเพื่อนบอกให้เพื่อนมารับ เราทันที เพื่อนก็รีบมารับ พอไปถึงวัด เพื่อนๆ ที่ทำงานของเราก็มา เราก็รู้สึกดีนะเพราะเราเพิ่งไปทำงานได้แค่หกเดือนพวกเค้าก็อุตส่าห์เหมารถมางานศพสามีของเราหาทางมาจนถูกอีก เราได้แต่ขอบคุณอยู่ในใจ เรานั่งรถเข็นเพราะแม่ไม่ให้เดิน กลัวขาบวมอีก เราเลยได้แต่นั่งมองตั้งแต่เริ่มจนจบ ตอนที่เค้าวางดอกไม้จันทน์เสร็จเค้าเปิดโลง เราอยากขึ้นไปมองหน้าสามีเราเป็นครั้งสุดท้ายมาก แล้วเพื่อนที่เรียนด้วยกันอีกคนนึงก็มาช่วยเข็นรถเราขึ้นไป เรามองเค้าและบอกกับเค้าว่า รักเอ็งนะ แล้วก็ถูกพาลงมา แล้วเค้าก็นำศพสามีเราเข้าเตาเผา เราถูกเข็นมาเฝ้ามองอยู่ไกลๆ เวลาผ่านไปสักพักไม่รู้ว่านานแค่ไหน แม่สามีก็เดินมาบอกเราว่า สัปเหร่อบอกว่าให้หนูเขียนใส่กระดาษว่า เราหย่าขาดจากกันตั้งแต่ตอนนี้ และให้ลงชื่อเรา เพราะเผาไม่ไหม้ เราก็มองหน้าแม่ แม่ก็บอกว่าแล้วแต่หนูนะ เราก็น้ำตาไหล ทำไมต้องให้เราเขียนเราคิดได้แค่นั้น แล้วเราก็ไม่เขียน จนมีคนอื่นเดินมาบอกเราอีกครั้ง ครั้งนี้มาพร้อมกระดาษและปากกา ส่งให้เราบอกให้เขียน เราไม่รู้เหมือนกันว่าเค้าเป็นใครเราเลยต้องเขียนเพราะเราคิดว่าสุดท้ายแล้วเรากับสามีก็ไม่มีทางแยกจากกันได้อีกแล้ว เค้าจะอยู่ในใจของเราตลอดไป เราเลยเขียนข้อความนั้นแล้วส่งให้เค้าไป พอเค้านำกระดาษใส่ในเตาเผาแค่โยนเข้าไปยังไม่ทันปิดประตูเราก็ได้ยินเสียงระเบิดดังมากซึ่งก็ไม่รู้เหมือนกันว่าอะไรระเบิด แล้วก็มีคนบอกว่าไหม้แล้ว เราเลยขอตัวกลับโรงพยาบาลก่อนเพราะว่าจะมืดแล้วเกรงใจเพื่อนด้วย แล้วเราก็ไม่ได้มาเก็บกระดูกสามีเราเพราะเราเกรงใจเพื่อน ถ้าจะให้วิ่งรับส่งเราแบบนี้ เลยให้พ่อแม่กับน้องสาวของสามีเป็นคนเก็บกระดูก แต่ตอนลอยอังคารเราไปลอยกับพ่อแม่และน้องสาวของสามี ระหว่างที่อยู่โรงพยาบาล ตอนกลางคืนเราจะคอยมองตลอดว่าเค้ามาหาเราไหม เราจะตื่นดึกๆ ก็จะมองหาตลอด มีคืนหนึ่งที่เราต้องตื่นขึ้นมากลางดึกเพราะเราได้กลิ่นเหม็นสาป เหมือนกลิ่นซากศพ เข้าจมูกเราแรงมาก เราลืมตาขึ้นมามองรอบๆ ห้อง ไม่เห็นอะไรแต่เราคิดว่าเค้ามาหาเราแน่ๆ ซึ่งก็ไม่ได้เล่าให้ญาติพี่น้องที่มานอนเฝ้าเราฟัง กลัวว่าจะกลัวกัน แต่รู้มาว่าวันนั้นตอนกลางวันแม่กับลูกชายเรากลับไปเอาเสื้อผ้าที่บ้าน เพราะเรานอนโรงพยาบาลหลายวันเกือบยี่สิบวัน แม่ได้บอกให้ลูกชายเขียนข้อความใส่กระดาษว่า เราอยู่ที่โรงพยาบาล และแปะไว้หน้าตู้เย็น เค้าคงจะกลับไปบ้านแล้วเห็นจึงมาหาเราถูก เราก็ไม่รู้นะว่าเราคิดไปเองหรือมันคือความจริง เราไม่ได้อยากให้ใครเชื่อเรา แต่เราอยากบอกว่าเราคิดว่าเหตุการณ์ต่างๆ มันคือเรื่องจริง เพราะไม่ใช่มีแค่นี้ยังมีเหตุการณ์อื่นๆ อีกจะค่อยๆ เล่าในตอนต่อไป แล้วแม่ก็บอกว่าเปิดเข้าประตูบ้านไปเหม็นมากเพราะสามีเราทำกับข้าวไว้รอเราคืนนั้น นั่นคือสาเหตุที่เค้าออกมารับเราช้า เราน้ำตาแทบไหลแต่เหมือนกับว่าต้องห้ามตัวเองไว้ไม่อยากให้แม่ให้ลูกหรือญาติพี่น้องเห็นว่าเราร้องไห้ เราก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมต้องห้ามตัวเองไว้ ทำไมไม่ปล่อยให้ตัวเองร้องไห้ ทำไมต้องแอบร้องตอนที่ทุกคนหลับไปแล้ว เราไม่อยากให้คนอื่นเป็นห่วงละมั้ง เราจะเป็นคนที่ไม่ชอบร้องไห้ให้คนอื่นเห็น แต่จะแอบร้องไห้คนเดียวเป็นประจำ มีใครเป็นแบบเราบ้างป่าวมะรู้
หลังจากนั้นมา เราไม่กล้ามองถนนอีกเลย มันกลัว บางทียังเดินแบบไม่มองถนนด้วยซ้ำ แต่ในความเป็นจริงมันไม่ได้ มันต้องมอง แต่ทุกครั้งมองถนนเราก็จะคิดถึงเหตุการณ์คืนนั้นและน้ำตาจะไหลตลอด จนวันที่เราต้องกลับมาทำงานต่อที่กรุงเทพ ไว้เล่าตอนต่อไปละกันนะคะวันนี้เหนื่อยมาก ขอตัวนอนก่อนนะ ฝันดีคะ
ขอบคุณ ภาพจาก google.com
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น