วันเสาร์ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2559

ผลการพิจารณาคดีอาญาข้อหาประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย



เมื่อถึงเวลานัด 9.00 น. ทุกคนมาพร้อมฟังผลการพิจารณาของคดีประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย(หลังจากศาลบอกว่าเราไม่สามารถเรียกร้องขอเงินชดเชยกรณีได้รับบาดเจ็บ)
เริ่มจากศาลถามจำเลยว่า คุณทราบหรือไม่ว่าครอบครัวของผู้ตายเรียกร้องขอเงินชดเชยมาจำนวนเท่าไร
จำเลยยืนนิ่งพี่สาวจำเลย พูดขึ้นมาว่า โทรหาเค้าแล้วเค้าบอกว่าไปคุยกันในศาลทีเดียว ตอนนั้นเราโมโหมากหันไปมองหน้าคนที่โทรมาคือลูกชายเค้า ลูกชายเค้าโทรมาหาเราแล้วก็ไม่พูดเงียบ เราก็ถามว่ายังไงเค้าก็บอกผมหาได้ห้าหมื่นเองตอนนี้ เราก็เลยบอกว่างั้นก็ไปคุยกันที่ศาลเดี๋ยวศาลเค้าก็พิจารณาลดให้เอง แต่ดูสิ่งที่เค้าบอกกับศาลสิจะให้เรารู้สึกดีกับพวกเค้าได้ยังไงตอนแรกก็สงสารอยู่แต่พอได้ยินแบบนี้ก็พอเลิกสงสารหันมาสงสารตัวเองทันที แล้วศาลก็บอกว่าเค้าเรียกมา 2 ล้านบาท ซึ่งคิดว่าในส่วนของภรรยา คิดจากจำนวนเงินที่ผู้ตายเคยให้ จำนวนเดือนละ 3,500 x 32 ปี(อายุจนถึง 60) = หนึ่งล้านกว่า โดยประมาณ และบิดาเรียกร้องมาจำนวน 400,000 บาท ก็คำนวณเหมือนกัน ซึ่งของบิดารวมค่าปลงศพด้วย 80,000 บาท ซึ่งปัจจุบันค่าปลงศพจำนวนนี้ถือเป็นเรื่องปกติ ศาลจึงถามจำเลยว่าคุณจะชดเชยให้ครอบครัวเค้าจำนวนเท่าไร
จำเลยยืนนิ่งมีแต่ลูกสาวลูกชาย หลานพี่เพื่อนช่วยกันต่อรองราคาให้ บอกกับศาลว่า 50,000 ได้หรือไม่ ตอนนั้นศาลก็แสดงอาการไม่พอใจเหมือนกันเท่าที่เห็น และศาลก็บอกว่ามันน้อยเกินไปขยับขึ้นมาหน่อยได้ไหม ก็รู้ว่าไม่มีแต่ลองคิดกลับกันถ้าผู้ตายเป็นฝั่งคุณ คุณจะอยากจะรับเงินจำนวนนี้หรือไม่ ฝ่ายจำเลยก็นิ่ง จนศาลต้องบอกว่า ห้าแสนได้ไหม รวมกันของภรรยากับของพ่อไปแบ่งกันเอาเอง ก็หันมาถามฝ่ายเรากับพ่อ เราก็ตกลงแต่ฝ่ายจำเลยไม่ตกลง บอกแต่ไม่มี เหตุผลว่าจำเลยไม่ได้ทำงานอะไร จำเลยอายุ 57 ปี ลูกชายทำงานโรงงานอยู่ชลบุรี ลูกสาวทำงานร้านอาหาร นู่นนี่นั่น ขอต่อกับศาลอีก สองแสนได้ไหม  ศาลทิ้งให้พวกเราอยู่ในห้องเพื่อตกลงกัน แต่ฝ่ายจำเลยไม่เคยพูดอะไรกับทางเราเลย จนเราบอกให้น้องสาวสามีหันไปถามสิว่าจะเอาอย่างไร เพราะมันนานมากแล้วที่พวกเค้านิ่งเฉยไม่ยอมตกลง พอหันไปถามพวกเค้าก็บอก สองแสนได้ไหม เราโมโหหันไปบอกว่าที่ขาพี่เป็นแบบนี้พี่ก็ไม่ได้เรียกร้องเพิ่ม ห้าแสนก็ให้ผ่อนชำระรายเดือนอีก มันก็เงียบเฉย จนศาลเข้ามาถามว่าตกลงกันได้ไหม มันก็บอกศาลว่าขอลดลงมาอีกหน่อยได้ไหมครับ สองแสน ศาลก็บอกว่าถ้าจะลดก็ลดได้ แต่คุณต้องวางเงินหนึ่งแสนและจ่ายอีกสามแสน หรืออะไรแบบนี้ ฝ่ายจำเลยก็นิ่งเงียบ บอกแต่ไม่มีหาไม่ได้ต้องไปกดบัตรเครดิตมาจ่าย ศาลก็บอกไม่อยากให้เป็นหนี้บัตรเครดิตดอกเบี้ยมันสูงคดีความเกี่ยวกับบัตรเต็มไปหมด จนกระทั่งศาลบอกว่าเอาอย่างนี้ สามแสน แล้วคุณวางวันนี้ก่อนห้าหมื่น จำเลยก็ไม่ยอมอีกบอกไม่มีเงินอีกละ ทั้งที่ตอนแรกบอกมีห้าหมื่นตั้งแต่วันที่โทรมาหาเราอาทิตย์ก่อนละ ขอศาลขอโอนให้เราเองในวันสิ้นเดือน ก่อนวันที่ 5 ศาลก็หันมาถามฝั่งเรา ด้านพ่อกับแม่ของสามีเราเค้าสงสารฝั่งนู่นมากบอกยอมเถอะ เราจึงยอม เรื่องจึงจบศาลก็พิมพ์สัญญาให้ ว่าจะโอนเงินงวดแรกจำนวน ห้าหมื่นบาท เข้าบัญชีเรา และเดือนต่อไปเดือนละไม่ต่ำกว่าสี่พันบาท ไม่เกินวันที่ 5 ของทุกเดือนหากผิดสัญญาให้มาร้องต่อศาลอีก เพื่อจะคิดดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 จากจำนวน สามแสนห้าหมื่นบาท เรื่องจึงจบ เท่ากับว่าเราได้รับเงินชดเชยจากกรณีสามีเสียชีวิต สองแสนบาทจากที่ร้องขอไปสองล้าน พ่อสามีได้หนึ่งแสนบาทจากที่ขอไปสี่แสนบาท  และศาลก็พิจารณาคดีอาญาต่อ ให้จำเลยติดคุก 4 ปี ปรับ 12,000 บาทและถามจำเลยว่ารับสารภาพหรือไม่กับความผิด จำเลยตอบว่ารับ ศาลก็พิจารณาลดโทษให้เหลือ 2 ปี ปรับ 6,000 บาท แต่รอลงอาญา และให้คุมประพฤติเป็นเวลา 1 เดือน บำเพ็ญประโยชน์ 24 ชม. และหากจำเลยไม่มีเงินเสียค่าปรับให้จำคุกชดใช้คืนละห้าร้อยบาท และให้ตำรวจประจำศาลพาตัวจำเลยไปตอนแรกเรารู้สึกโมโห รู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรม ศาลพูดมาคำนึงว่าให้คิดว่าเป็นเคราะห์กรรมร่วมกัน ตอนแรกก็คิดเช่นนั้น แต่ตอนนี้ไม่คิดแบบนั้น เพราะถ้าเค้าช่วยเหลือเราในคืนนั้นสามีเราอาจไม่ตาย เป็นสาเหตุที่เรารู้สึกว่าเราไม่ได้รับความเป็นธรรม เรารู้ว่าเค้าก็คงไม่มีเงินอะไรมากมาย แต่เราอยากให้เค้าชดใช้สิ่งที่เค้ากระทำกับเรา ความรู้สึกเราแทบจะตายไปพร้อมกับสามีเลยคืนนั้น เราไม่รู้ว่าตัวเองช็อกไป 4 ปีเต็ม ไม่พูด ไม่คุย ไม่เล่นกับใครเลย จนกระทั่งสี่ปีเราหัวเราะแบบที่เรารู้สึกว่าเฮ้ยเราไม่ได้หัวเราะแบบนี้มาสี่ปีเต็ม เราไม่เคยคุยเล่นกับเพื่อนแบบนี้มาสี่ปีเต็ม เราไม่เคยมีความสุขเลยตั้งแต่เสียสามีไป เช้ามาทำงานเย็นกลับบ้าน เสาร์อาทิตย์กลับไปดูแลพ่อแม่ลูก เรารู้สึกว่าชีวิตเรากลับมายิ้มได้เล่นกับเพื่อนได้ หลังจากผ่านเหตุการณ์คืนนั้นมาสี่ปีเต็ม แต่ทุกครั้งที่เหนื่อยท้อก็คิดถึงสามีตลอด เรารู้สึกว่าศาลเห็นใจจำเลย มากกว่าผู้เสียหายซะอีก เรารู้สึกเช่นนั้นจริงๆ แต่ท่านเป็นคนกลางท่านก็คงคิดว่าทำดีที่สุดแล้ว ตามนั้นคะท่าน เราเป็นแค่คนธรรมดาก็ต้องยอมรับไป จบคะ ได้แต่หวังว่ามันจะไม่ผิดสัญญาไม่อยากไปฟ้องร้องอะไรกับใครอีกแล้วเบื่อความไม่ยุติธรรม

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น